วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักชาใบหม่อนกันเถอะ

ชาใบหม่อน
                ชาหม่อนสมุนไพรจากใบหม่อน เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ได้เผยแพร่สู่สาธารณชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และเปิดหลักสูตรการทำชาหม่อน เมื่อเดือนกุมพาพันธ์ 2541 เป็นต้นมาทำให้ชาหม่อน หรือชาใบหม่อนแพร่หลายเพราะรสชาติและคุณสมบัติที่ดี ของหม่อนเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งดื่มได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น
                เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าใบหม่อนมีสาร ดีเอ็นเจ (DNJ=Deoxynijirimycin) ซึ่งสารนี้มีผลในการลดน้ำตาลในเลือด มีสารกาบา (GABA – Gamma amino butyric acid) ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิตและสาร ฟายโตสเตอรอล (Phytosterol) ที่ มีประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอล ที่กล่าวมานี้เป็นผลงานวิจัยของ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โรมาเนีย และอินเดีย ต่อมานักวิทยาศาสตร์ชาวไทยและชาวญี่ปุ่นยังพบว่าใบหม่อนมี แร่ธาตุ และวิตามิน ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายครบทุกชนิด ชาวอีสานได้ใช้ใบหม่อนปรุงอาหารแทนผงชูรส และเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงอ่อม และผักเคียง ฯลฯ มาเป็นเวลาช้านานแล้ว
                ใบหม่อนมีคุณสมบัติหรือสรรพคุณทางยาตามตำราแพทย์แผนไทยมาแต่โบราณ ใช้ต้มดื่มต่างน้ำชา แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไอ เจ็บคอ ระงับประสาท แก้กระหายน้ำ ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด บำรุงผิว แก้อาการตาลาย เวียนหัวและปวดหัด ขับปัสสาวะ ช่วยระบายท้อง เอาน้ำล้างตา แก้ตาแดง ตาแฉะ และตาฟาง
                ใบหม่อนยังมีประโยชน์อีกมาก ดังจะเห็นได้จากมีการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อยมา ตั้งแต่ชาหม่อนได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันโดยทั่วไป เกษตรกร และผู้ประกอบการยึดเป็นอาชีพได้ อีกทั้งเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ของหลายๆ จังหวัด มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดต่างประเทศ และภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการใช้ใบหม่อนหรือชาหม่อนได้กว้างขวางมากขึ้น ผมและคณะผู้ร่วมวิจัยทั้งจากสถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร และ ดร. สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ อาจารย์รัตติยา สำราญสกุล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้วิเคราะห์หาสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ ที่มีสรรพคุณทางเภสัชศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2543-2545 พบว่าในใบหม่อนมีสารเควอซิติน (Quercetin) และ เคมเฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งเป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยส์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติดังนี้
1.ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้น
2.ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี และหลอดเลือดดแข็งแรง
3.ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือดมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่
4.ลดอาการแพ้ต่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว
5.สารทั้งสองชนิดนี้ สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้เล็กและไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ
6.พืชใช้สารเหล่านี้เพื่อใช้ทนต่อลม ฝน แสงแดด ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องอาศัยพืช
            นอกจากนั้นยังพบสาร โพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสำคัญ 2 ชนิด ที่กล่าว มาข้างต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า สารสำคัญเหล่านี้จะพบมากในใบหม่อน ในสถานที่ต่างกันทำให้ปริมาณสารที่ได้แตก ต่างกัน ปัจจุบันพบว่า พันธุ์บุรีรัมย์ 60 (บร.60) และพันธุ์นครราชสีมา 60 (นม.60) เป็นพันธุ์ที่ให้สารสำคัญสูงกว่าหม่อนในพันธุ์พื้นเมือง การผลิตชาหม่อนในรูปของชาเขียว ทั้งการผลิตแบบครัวเรื่อนและโรงงานให้ปริมาณ สารเควอซินติน เคมเฟอรอล และโพลีนอลสูงมากกว่าการนำไปทำเป็นชาจีนหรือชาฝรั่ง
             การดื่มชาหม่อน ในการทดลองกับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชาวโรมาเนีย ด้วยการให้ดื่มน้ำชาหม่อนวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ครั้งละ 150 ซีซี เป็นเวลา 2 เดือน สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ประมาณ 53 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าควรดื่มชาหม่อนวันละเท่าไร และจะดื่มเวลาไหนนั้นไม่สามารถจะตอบได้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียง หรือผลเสียจากการดื่มชาหม่อนมากหรือน้อยเกินไป มีผู้แนะนำว่า ควรดื่มชาหม่อนระหว่างการรับประทานอาหาร หรือหลังการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ทันทีจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็น การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา สุขภาพจะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ต้องคำนึงถึงอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ และทำให้เกิดอารมณ์ที่แจ่มใส ดังนั้นการดื่มชาหม่อน จึงเป็นการดูแลรักษาสุขภาพแม้จะไม่มีโรคภัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เราก็สามารถดื่มได้เป็นการบำรุงสุขภาพ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเป็นอาหารเสริม อาการแพ้ชาหม่อน ยังไม่มีรายงานอาการแพ้ชาหม่อน แต่ถ้าบริโภคชาหม่อนแล้วมีอาการต่อไปนี้นั่น หมายถึง ท่านอาจเกิดอาการแพ้ และสามารถนำอาการเหล่านี้ ไปสังเกตกับการใช้สมุนไพรอื่นๆ ได้ดังนี้
1. ผื่นขึ้นตามผิวหนัง อาจเป็นตุ่มเล็ก ตุ่มโต เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ อาจบวมที่ตา (ตาปิด) หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ) หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
2. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง)
3. หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
4. ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่น เพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ
5. ใจ สั่น ใจเต้น หรือรูสึกวูบวาบคล้ายโรคหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อยๆ ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเป็นสีเหลือง เขย่าเกิดฟองสีเหลือง (เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรงต้องรีบไปหาแพทย์



ที่มา สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ

1 ความคิดเห็น:

  1. สนใจอยากจะปลูกหม่อนไว้ทานผล หรือว่าจะเก็บใบไว้ทำชาใบหม่อน ขอแนะนำหม่อนพันธุ์เชียงใหม่60 ลูกใหญ่ รสชาติเยี่ยม ติดผลดก ปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย อยากจะได้กิ่งพันธุ์แต่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อที่ไหน ทางสวนของเรามีจำหน่ายในราคากันเอง เพียงกิ่งละ10บาท สนใจโทรหา ตุ๊ ภูชี้ฟ้า 063-7157573,089-6803543 id.line permsak08 หรือหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ก้าวกล้า บุญคำตัน เพจ ต้นหม่อน ครับผม

    ตอบลบ